อินโดฯ ปิดดีลภาษีสหรัฐ สะเทือนไทย นับถอยหลังเสียตลาด–ย้ายฐานผลิต

17 กรกฎาคม 2568
อินโดฯ ปิดดีลภาษีสหรัฐ สะเทือนไทย นับถอยหลังเสียตลาด–ย้ายฐานผลิต

อินโดนีเซีย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐ เหลือ 19% ขณะไทยยังถูกเก็บสูงถึง 36% เริ่ม 1 ส.ค. 2568 เสี่ยงสูญเสียความสามารถแข่งขัน ซัพพลายเออร์เปลี่ยนฐานไปอินโดฯ

ท่ามกลางความพยายามในการเจรจาต่อรองของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย อินโดนีเซียถือเป็นชาติที่ 2 ของอาเซียนที่ปิดดีลการค้าได้สำเร็จ จาก 32% ลดเหลือ 19% ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าลดลงต่ำกว่าสมาชิกอาเซียนชาติอื่น 

ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมของ อินโดนีเซีย และ ไทย มีความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นประเทศอาเซียนที่มีระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมใกล้เคียงกัน และต่างเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกไปยังตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ 

สิ่งที่หน้ากังวลคือความสามารถแข่งขันทางการค้า ความเสี่ยงในการย้ายผลิตไปประเทศอื่น ๆ ที่ได้ภาษีต่ำกว่าประเทศไทย หากไทยไม่สามารถเจรจาต่อรองลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งถูกเก็บถึง 36% โดยจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568

เทียบสินค้าไทย - อินโดฯ ส่งออกไปสหรัฐฯ 

จากข้อมูลศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ พบว่า สินค้าไทยส่งออกไปยังสหรัฐ ในช่วง 5 เดือน ของปี 2568 ( มกราคม - พฤษภาคม ) 20 อันดับแรก ได้แก่ 

  • เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 6,567 ล้านดอลลาร์ 
  • ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 1,985 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องโทรสารโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 1,802 ล้านดอลลาร์
  • อัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่า 1,049 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ มูลค่า 1,045 ล้านดอลลาร์
  • หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ มูลค่า 990 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล มูลค่า 979 ล้านดอลลาร์
  • รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 765 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ มูลค่า 762 ล้านดอลลาร์
  • อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์ และไดโอด มูลค่า 709 ล้านดอลลาร์
  • เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ มูลค่า 556 ล้านดอลลาร์
  • ผลิตภัณฑ์พลาสติก มูลค่า 553 ล้านดอลลาร์
  • แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า มูลค่า 497 ล้านดอลลาร์
  • อาหารสัตว์เลี้ยง มูลค่า 438 ล้านดอลลาร์
  • อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป มูลค่า 385 ล้านดอลลาร์
  • ผลไม้กระป๋องและแปรรูป มูลค่า 377 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องนุ่งห่ม มูลค่า 371 ล้านดอลลาร์
  • ข้าว มูลค่า 369 ล้านดอลลาร์
  • เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน มูลค่า 336 ล้านดอลลาร์
  • ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ มูลค่า 336 ล้านดอลลาร์
  • อื่น ๆ มูลค่า 6,220 ล้านดอลลาร์ 

รายการสินค้าอินโดนิเซียส่งออกไปสหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน สินค้าอินโดนิเซียส่งออกไปยังสหรัฐ ในช่วง 4 เดือน ของปี 2568 ( มกราคม - เมษายน ) 20 อันดับแรก ได้แก่ 

  • เครื่องจักร อุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 1,596 ล้านดอลลาร์
  • รองเท้า มูลค่า 853 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องแต่งกาย ถัก มูลค่า 801 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องแต่งกาย ไม่ถัก มูลค่า 707 ล้านดอลลาร์
  • ไขมันจากสัตว์หรือพืช มูลค่า 635 ล้านดอลลาร์
  • ยางและผลิตภัณฑ์ มูลค่า 524 ล้านดอลลาร์
  • เฟอร์นิเจอร์ มูลค่า 502 ล้านดอลลาร์
  • ปลา สัตว์น้ำ มูลค่า 371 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ มูลค่า 316 ล้านดอลลาร์
  • เครื่องหนัง มูลค่า 288 ล้านดอลลาร์
  • เคมีภัณฑ์เบ็ดเตล็ด มูลค่า 286 ล้านดอลลาร์
  • โกโก้และของปรุงแต่งที่ทำจากโกโก้ มูลค่า 283 ล้านดอลลาร์
  • ไม้และของจากไม้ มูลค่า 261 ล้านดอลลาร์
  • ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา มูลค่า 260 ล้านดอลลาร์
  • เคมีภัณฑ์อินทรีย์ มูลค่า 177 ล้านดอลลาร์
  • กาแฟ ชา มูลค่า 174 ล้านดอลลาร์
  • กระดาษ มูลค่า 157 ล้านดอลลาร์
  • ยาสูบและผลิตภัณฑ์ที่ใช้แทนยาสูบ มูลค่า 118 ล้านดอลลาร์
  • ของเล่น เกม กีฬาฯ มูลค่า 116.4 ล้านดอลลาร์
  • พลาสติกและของที่ทำด้วยพลาสติก มูลค่า 79 ล้าน
  • อื่น ๆ มูลค่า 867

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อเทียบรายการสินค้าไทยกับอินโดนิเซียที่ออกไปยังสหรัฐ จะได้เห็นชัดเจนว่ามีกลุ่มสินค้าคล้ายคลึงกันอยู่หลายรายการ หากไทยได้ภาษีสูงกว่าอินโอนิเซีย ไทยจะเสียความสามารถในการแข่งขันด้านราคา สินค้าไทยจะมีราคาขายในตลาดสหรัฐฯ แพงกว่าสินค้าอินโดฯ ที่เสียในอัตราต่ำกว่า ขณะที่ ผู้นำเข้าหรือผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ จะหันไปเลือกสินค้าจากอินโดฯ แทน เพื่อรักษาต้นทุนและราคาขายให้แข่งขันได้

รวมถึงยอดส่งออกไทยไปสหรัฐฯ อาจลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่ไทยกับอินโดฯ แข่งขันกันโดยตรง เช่น ยางพารา, เฟอร์นิเจอร์, เสื้อผ้า, อาหารแปรรูป หรือแม้กระทั่งผู้ผลิตไทยอาจต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้สิทธิภาษี หรือส่งออกผ่านฐานการผลิตในประเทศที่ได้เปรียบ

โดยในอนาคตไทยอาจจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในระยะยาวหากลูกค้าในสหรัฐฯ เปลี่ยนซัพพลายเออร์เป็นอินโดนีเซีย หรือเวียดนาม และเกิดความพึงพอใจ อาจไม่กลับมาซื้อจากไทยอีก

 


 


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.